วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

ลักษณะคำประพันธ์


    มหาชาติหรือมหาเวสสันดรชาดกสำนวนภาคกลางนิยมแต่งร่ายยาว  เพราะร่ายยาวเหมาะแก่การใช้แหล่เทศน์  ผู้เทศน์จะออกเสียงได้ไพเราะและเปลี่ยนทำนองเทศน์ได้หลายอย่าง
          ร่ายยาวเป็นการเรียบเรียงถ้อยคำให้คล้องจองกันเป็นวรรค คือ คำสุดท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสไปยังวรรคหลัง  ซึ่งรับสัมผัสได้แทบทุกคำ  ยกเว้นคำที่อยู่ท้ายวรรค  เป็นเช่นนี้ไป
จนจบ  แต่ละบทจะยาวเท่าใดก็ได้  แต่มักไม่ต่ำกว่า ๔ วรรค
          ร่ายยาวมหาเวสสันดร  จะยกคาถาบาลีนำก่อน  แล้วจึงแต่งร่ายยาวตาม  ดังตัวอย่าง
“…สา อมิต.ตตาปนา  ส่วนว่านางอมิตตดานั้นเป็นลูกเหล่าตระกูลไม่เสียชาติ  ไม่คิดว่าตัวเป็นสาวได้ผัวแก่แล้วก็เป็นเมียทาส  คิดว่าทุกข์ของพ่อแม่กรรมแล้วก็ตามกรรม  สมมา  ปฏิชค,
คิ เป็นต้นว่าหาหุงต้มตักตำทุกค่ำเช้าไม่ขวยเขินละอายเพื่อน เวลาเช้าเจ้าก็ทำเวลาค่ำเจ้าก็มิให้เตือนทั้งการเรือนเจ้าก็มิให้ว่า  ทั้งฟืนเจ้าก็หักทั้งผักเจ้าก็หา  เฝ้าปรนนิบัติเฒ่าชราทุกเวลากาลนั้นแล…”
ราชย์สมบัติตามเดิม บ้านเมืองมีความสงบสุข ประชาชนร่มเย็นตามเดิม

คำศัพท์


ลำดับ
คำศัพท์
ความหมาย
๑.
คาถาพัน
บทประพันธ์เรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่แต่งเป็นภาษาบาลีล้วน ๆ พันบท  เรียกการเทศน์มหาเวสสันดรชาดกที่เป็นคาถาล้วน ๆ อย่างนี้ว่า  เทศน์คาถาพัน
๒.
บุตรทารทาน
การให้ทานโดยสละบุตรและภรรยา (ทาร)
๓.
ภัทรกัป
กัปอันเจริญหรือกัปที่ดีแท้ เป็นชื่อของกัปปัจจุบันนี้ คือกัปที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ๕ พระองค์
๔.
สมุจเฉทปหาร
การละกิเลสได้โดยเด็ดขาดด้วยอริยมรรค
๕.
สังสารวัฏ
การเวียนไหว้ตายเกิด


คำว่า มหาชาติ หมายถึง การเกิดครั้งยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ หมายความว่าในพระชาติสุดท้ายที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรได้บำเพ็ญบารมีครบถ้วนทุกประการ ก่อนจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกของโลก คำว่า คำหลวง หมายถึงหนังสือที่พระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านายชั้นสูงทรงนิพนธ์หรือหนังสือที่พระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านายชั้นสูงทรงสนับสนุนให้คนอื่นแต่ง เนื้อหาจะเกี่ยวข้องกับศีลธรรม ศาสนา คำประพันธ์ที่ใช้ค่อนข้างหลากหลายมีทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย ใช้สวดเข้าทำนองหลวง
            มหาชาติคำหลวง เป็นหนังสือมหาชาติภาษาไทยที่เป็นคำหลวงเรื่องแรกของไทย ซึ่งแต่เดิมได้หายไปบ้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ ๒ ทรงให้แต่งซ่อมจนครบ ๑๓ กัณฑ์ ที่แต่งเพิ่มเข้ามาคือ กัณฑ์หิมพาน กัณฑ์ทานกัณฑ์ กัณฑ์จุลพน กัณฑ์มัทรี กัณฑ์สักบรรพและกัณฑ์กษัตริย์
๑.    ผู้แต่ง               
             นักปราชญ์ราชบัณฑิตหลายคนช่วยกันแต่ง ตามพระบรมราชโองการของสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๕

๒. ลักษณะการแต่ง
              ใช้คำประพันธ์หลายประเภทในการแต่ง คือมีทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย โดยมีภาษาบาลีแทรกอยู่ทั้งเรื่อง

๓.  วัตถุประสงค์ในการแต่ง
                วรรณคดีเรื่อง มหาชาติคำหลวง ไม่ได้แต่งสำหรับพระเทศน์ แต่งสำหรับนักสวด สวดให้อุบาสกอุบาสิกาฟังเวลาไปอยู่บำเพ็ญการกุศลที่ในวัด เวลาวันนักขัตฤกษ์  เช่น วันเข้าพรรษา ออกพรรษา หรือเทศกาลอื่น ๆ ประเพณีอันนี้ยังมีมาจนตราบเท่าทุกวันนี้




๔.  สาระสำคัญ
                มหาชาติคำหลวง มีข้อความแบ่งเป็น ๑๓ ตอน ดังนี้
                ตอนที่ ๑ ว่าด้วยกัณฑ์ทศพร จับเอาตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธ ครองราชสมบัติอยู่ที่พระนครราชคฤห์ แล้วเสด็จไปโปรดพระเจ้า        สุทโธทนะพระพุทธบิดาพระประยูรญาติในกรุงกบิลพัสดุ์ ณ ที่นั้นได้เกิดฝนโบกขรพรรษ คือ ฝนดุจน้ำตกลงบนใบบัว เป็นฝนวิเศษ กล่าวไว้ว่าใครนึกอยากจะให้เปียก ก็เปียก ใครไม่อยากให้เปียก ก็ไม่เปียก พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเห็นแล้วเป็นอัศจรรย์จึงกราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงแสดงเหตุผลในเรื่องนี้พระพุทธองค์จึงแสดงมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นเรื่องของพระนางผุสดีขอประทานพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์
                ตอนที่ ๒ ว่าด้วยกัณฑ์หิมพานต์ กล่าวถึงพระเวสสันดรว่าทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสญชัยกับนางผุสดี แห่งแคว้นสีวีราษฎร์ ประสูติที่ตรอกพ่อค้า จึงได้นามว่า เวสสันดร ทรงเป็นนักเสียสละผู้ยิ่งใหญ่มาแต่ทรงพระเยาว์ กล่าวคือเมื่อมีพระชนมายุได้เพียง ๔ พรรษาก็ทรงปรารถนาบริจาคอวัยวะของตน เมื่อพระองค์ได้รับราชสมบัติ ทรงมีพระทัยกว้าง จึงได้พระราชทานช้างปัจจัยนาเคนทร์แก่พราหมณ์ชาวกลิงคราษฏร์ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชาวเหล่านั้น ทำให้ประชาชนไม่พอใจกันใหญ่ จึงพากันไปกราบทูลพระเจ้าสญชัยให้เนรเทศ
พระเวสสันดรไปอยู่ป่าหิมพานต์ พระเวสสันดรจึงไปอยู่ป่าหิมพานต์
                ตอนที่ ๓  ว่าด้วยกัณฑ์ทานกัณฑ์ ก่อนที่พระเวสสันดรจะเสด็จไปอยู่ป่าหิมพานต์ พระองค์ทรงมีการบริจาคทานที่ยิ่งใหญ่อีก เขาเรียกว่าสัตตดก มหาทาน แปลว่า การให้ที่ยิ่งใหญ่อย่างละ ๗๐๐ คือให้ช้าง ๗๐๐ เชือกให้ม้า๗๐๐ ตัว ให้รถ ๗๐๐ คัน ให้ทาสชาย ๗๐๐ คน ให้ทาสหญิง ๗๐๐ คน ให้โคนม ๗๐๐ ตัวและให้นางสนม ๗๐๐คน
                ตอนที่ ๔ ว่าด้วยกัณฑ์วนปเวสน์ กล่าวถึงพระเวสสันดรทรงพาพระนางมัทรีพระชายา ชาลีโอรส และกัณฑ์หาพระธิดา เสด็จออกจากเมือง ผ่านแคว้นเจตราษฎร์ไปประทับอยู่ที่เขาวงกตในป่าหิมพานต์ (ป่าหิมพานต์นี้เป็นป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะเป็นภูเขาใหญ่ อยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเข้าใจว่าเป็น ภูเขาหิมาลัย)
                ตอนที่ ๕ ว่าด้วยกัณฑ์ชูชก กล่าวถึงชูชก พราหมณ์ผู้เป็นขอทาน ซึ่งได้นางอมิตตดาสาวสวยงามมาเป็นภริยา นางใช้ให้ชูชกไปขอกัณหาและชาลี ชูชกรักภริยาจึงเดินทางดั้นด้นไปสืบหาข่าวที่แคว้นสีวีราษฎร์ ผู้คนพากันเกลียดชังชูชก ชูชกก็พยายามหลบหลีกการทำร้ายของชาวบ้านมาจนได้ เดินทางต่อไปก็ไปพบพรานเจตบุตร ได้หลอกล่อให้พรานเจตบุตรบอกทางไปเขาวงกตจนได้
                ตอนที่ ๖ ว่าด้วยกัณฑ์จุลพน กล่าวถึงชูชกพราหมณ์เฒ่าเดินทางผ่านป่าตามที่พรานเจตบุตรบอกให้ เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงอาศรมของอัตจุตฤาษี
                 ตอนที่ ๗ ว่าด้วยกัณฑ์มหาพน กล่าวถึงเฒ่าชูชกได้ใช้วิธีหลอกล่อ เพื่อฤาษีอัตจุตบอกทางไปหาพระเวสสันดร
                ตอนที่ ๘ ว่าด้วยกัณฑ์กุมาร กล่าวถึงชูชกเข้าไปกราบทูลขอชาลีกับกัณหาจาก
พระเวสสันดร พระเวสสันดรทรงพระราชทานให้ ชูชกได้ทุบตีกัณหากับชาลีต่อหน้าพระพักตร์ของพระเวสสันดร ก่อนจะเดินทางจากไป
                ตอนที่ ๙ ว่าด้วยกัณฑ์มัทรี กล่าวถึงพระนางมัทรีที่จะเสด็จกลับจากการหาผลไม้ในป่า เมื่อมาถึงไม่เห็นกัณหากับชาลี ก็ออกติดตามจนค่ำคืนดื่นดึกก็ไม่พบ จนถึงกับเป็นลมสลบลงต่อหน้าพระพักตร์ของพระเวสสันดร เมื่อฟื้นขึ้นพระเวสสันดรจึงตรัสเล่าเรื่องราวให้ฟังโดยตลอด เหตุผลก็คือเป็นการบริจาคครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ต้องการออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าพระนางมัทรีถึงจะโศกเศร้าเพียงไร ในที่สุดก็ต้องอนโมทนาสาธุการเห็นดีด้วย
                ตอนที่ ๑๐ ว่าด้วยกัณฑ์สักกบรรพ กล่าวถึงท้าวสักกะ พระอินทร์ ในฐานะที่เป็นจอมแห่งเทวดาเกิดความเกรงพระทัยว่าจะมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรีไปเสียอีกคน จึงทรงแปลงพระองค์เป็นพราหมณ์ชรามาทูลขอพระนางมัทรีกับพระเวสสันดรแล้วก็ทรงฝากไว้กับ
พระเวสสันดรนั่นแหละ
                ตอนที่ ๑๑ ว่าด้วยกัณฑ์มหาราช กล่าวถึงตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ชูชกเดินทางไปแคว้นสีวีราษฎร์ พระเจ้าสญชัยทรงไถ่กัณหากับชาลีให้เป็นอิสระ และทรงเลี้ยงเฒ่าชูชกอย่างเต็มที่ ปรากฏว่าชูชกสวาปามไปเต็มคราบจนถึงกับต้องตายเพราะความงกกิน
                ตอนที่ ๑๒ ว่าด้วยกัณฑ์ฉกษัตริย์ กล่าวถึงพระเจ้ากรุงสญชัยเสด็จด้วยพระนางผุสดี กัณหาและชาลี เพื่อไปรับพระเวสสันดรและพานางมัทรีกลับพระนคร เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ ทรงพบกันที่เขาวงกต ก็ทรงถึงแก่วิสัญญีภาพทั้ง ๖ พระองค์ ด้วยความดีพระทัยที่ได้พบกันอีก ด้วยทรงนึกว่าคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว และด้วยความเศร้าพระทัย ที่ต้องพลัดพรากจากกันไปนาน ในตอนนี้ พระอินทร์ผู้มีนามว่าท้าวสักกะจอมเทวดาได้ทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา สร้างความชุ่มชื่นทำให้กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ ทรงฟื้นสติขึ้นมา
                ตอนที่ ๑๓ เป็นตอนสุดท้าย ว่าด้วยกัณฑ์นครกัณฑ์ กล่าวถึงกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ เสด็จกลับถึงพระนคร แคว้นสีวีราษฎร์ และพระเวสสันดรก็ได้ครองราชย์สมบัติตามเดิม บ้านเมืองมีความสงบสุข ประชาชนร่มเย็นตามเดิม



๙.  เมื่อแผ่พระเมตตาแก่ชาวกลิงคราษฎร์ เมื่อพระราชทานช้างปัจจัยนาค และเมื่อสถิตในเขาวงกตได้แผ่พระเมตตาแก่สรรพสัตว์ทั่วไปเป็น  เมตตาบารมี
๑๐.  เมื่อตัดความเสน่หาอาลัยในพระโอรสทั้งสองได้ ไม่โกรธชูชก ทั้งประทับเป็น
มัชฌัตตารมณ์ ไม่รักไม่ชังผู้ใดเป็น อุเบกขาบารมี
ทศพร
        พร ๑๐ ประการ ที่พระอินทร์ประทานให้พระนางผสุสดี
๑.  ให้ได้อยู่ในปราสาทของพระเจ้าสีวีราชแห่งกรุงสีพี
๒. ให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาของลูกเนื้อทราย
๓.  ให้มีคิ้วโก่งดำสนิท
๔.  ให้มีพระนามว่าผสุสดี
๕.  ให้มีพระโอรสที่ฝักใฝ่ในการบริจาคทาน
๖.   เมื่อเวลาทรงครรภ์มิให้ครรภ์ปรากฏนูนเหมือนสตรีสามัญ
๗.  ให้มีถันอันงาม  เวลาทรงครรภ์มิให้ดำและหย่อนยาน
๘.  ให้มีเกศาสนิท
๙.   ให้มีผิวงาม
๑๐. ให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้
       พร ๘ ประการ
           พร ๘ ประการ ที่พระอินทร์ประทานให้แก่พระเวสสันดร
๑.  ให้บิดาเสด็จมารับพระองค์กลับไปครองราชย์ในนคร
๒. ให้ได้ปลดปล่อยนักโทษทั้งหมด
๓.  ให้ได้ช่วยเหลือคนยากจนให้บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ
๔.  อย่าให้ลุอำนาจสตรีให้พอใจแต่พระชายาของพระองค์
๕.  ให้กุมารทั้งสองมีมายุยืนนานและเป็นกษัตริย์สืบราชสมบัติ
๖.   ให้ฝนแก้วทั้ง ๗ ประการ ตกในนครสีพีเมื่อพระองค์เสด็จกลับไป
๗.  ให้ได้บริจาคทรัพย์แก่คนยากจน  ด้วยสมบัติในท้องพระคลังอันไม่รู้หมดสิ้น
๘.   เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต และในพระชาติต่อมาให้ได้บรรลุ
พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า

การบริจาคทานของพระเวสสันดรที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ๗ ครั้ง มีดังนี้
๑.  เมื่อทรงปฏิญาณว่าบริจาค พระหทัย พระเนตร พระมังสา หรือพระโลหิต ถ้ามีผู้มาขอ
๒.  เมื่อพระราชทานช้างปัจจัยนาค
๓.  เมื่อพระราชทานมหาทานก่อนเสด็จไปประทับที่เขาวงกต
๔.  เมื่อพระราชทานพระโอรสทั้งสองแก่ชูชก
๕.  เมื่อพระราชทานพระนางมัทรีแก่พระอินทร์ที่แปลงเป็นพราหมณ์
๖.  เมื่อได้พบพระราชบิดา และพระราชมารดาอีกครั้งในป่า
๗.  เมื่อเสด็จนิวัติพระนครสีพี


ทศชาติชาดก
              เป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าตอนเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ๑๐ ชาติก่อนจะตรัสรู้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละชาติทรงบำเพ็ญทศบารมี” ต่าง ๆ กัน เรียกว่า หัวใจพระเจ้าสิบชาติ
ชาติที่   เตมียชาดก  ( เต )  ทรงบำเพ็ญเนกขัมบารมี  คือ การออกบวช เนื้อเรื่อง คือ พระชาตินี้ทรงเกิดเป็นกษัตริย์  แต่แกล้งทำเป็นใบ้   เพื่อจะเสด็จออกบรรพชาได้สะดวก
ชาติที่ ๒  มหาชนกชาดก  ( ชะ )  ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี  คือ ความเพียร เนื้อเรื่อง คือ
พระมหาชนกทรงโดยสารเรือ  เรือแตกต้องว่ายอยู่ในมหาสมุทรถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ในที่สุดขึ้นฝั่งได้จากการช่วยเหลือของเทวดาผู้รักษามหาสมุทร
ชาติที่ ๓  สุวรรณสามชาดก  ( สุ )  ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี คือ ความเมตตา เนื้อเรื่อง คือ พระสุวรรณสามทรงเมตตาสัตว์ในป่าและมีความกตัญญูกตเวทีเลี้ยงดูบิดามารดาที่ตาบอดอยู่ในป่า
ชาติที่ ๔  เนมิราชชาดก  ( เน )  ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี คือ มีความตั้งใจมั่น  เนื้อเรื่อง คือ พระอินทร์ให้มาตุลีเทพบุตรพาพระเนมิราชไปชมนรกสวรรค์
ชาติที่ ๕  มโหสถชาดก ( มะ )   ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี คือ มีปัญญา เนื้อเรื่อง คือ พระมโหสถ ทรงใช้ปัญญาแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม
ชาติที่   ภูริทัตชาดก ( ภู )   ทรงบำเพ็ญศีลบารมี คือ การรักษาศีล เนื้อเรื่อง คือ พระภูริทัตถูกหมองูจับตัวไป แต่ก็มิได้ทรงทำอันตรายหมองู เพราะเกรงว่าศีลจะขาด
ชาติที่ ๗  จันทกุมารชาดก ( จะ )   ทรงบำเพ็ญขันติบารมี  คือ ความอดทน เนื้อเรื่อง คือ พระชาตินี้พระองค์ถูกจับบูชายันต์  แต่ในที่สุดพระอินทร์มาช่วยไว้ได้
ชาติที่ ๘  นารทชาดก ( นา )  ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี คือ การวางเฉย เนื้อเรื่อง คือ พระองค์ทรงเกิดเป็นพระพรหม แปลงลงมาทรมานกษัตริย์ที่มิจฉาทิฐิ ให้กลับเป็นสัมมาทิฐิตามเดิม
ชาติที่ ๙  วิทูรชาดก ( วิ )  ทรงเพ็ญสัจจาบารมี  คือ การมีสัจจะ เนื้อเรื่อง คือ พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดปุณกยักษ์ให้หมดยศ
ชาติที่ ๑๐  เวสสันดรชาดก ( เว ) ทรงบำเพ็ญทานบารมี คือ การให้ทาน เนื้อเรื่อง คือ
พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานต่าง ๆ โดนเฉพาะอย่างยิ่งบุตรทารทานบารมี คือ การให้บุตรภรรยาเป็นทาน ชาตินี้เป็นพระชาติสุดท้าย นับว่าเป็นพระชาติที่ยิ่งใหญ่ จึงเรียกพระชาตินี้ว่ามหาชาติ
      
ทศบารมี

               คือ บารมี ๑๐ ประการที่พระเวสสันดรบำเพ็ญจนครบในชาติเดียว มีดังนี้
๑.     เมื่อประสูติได้ตรัสกับพระมารดาว่าจะบำเพ็ญทานและการบริจาคทานทั้งปวงเป็น   
ทานบารมี
๒.  เมื่ออยู่ในฆราวาสวิสัย ทรงรักษาเบญจศีลตลอดเวลา และรักษาอุโบสถศีลทุกๆ ครึ่งเดือนเป็น ศีลบารมี
๓.  เมื่อละกามคุณ ทรงผนวชเป็นดาบสอยู่ที่เขาวงกต เป็น เนกขัมมบารมี
๔.  เมื่อทรงดำริที่จะให้อัชฌัติกทานตั้งแต่ยังอยู่ในทารกภูมิ และเมื่อพระราชทานโอรสทั้งสองแก่ชูชก ทรงใช้วิจารณญาณช่วยให้บรรเทาความเศร้าโศกเสียใจได้ เป็น ปัญญาบารมี
๕.  เมื่อดำรงราชสมบัติทรงอุตสาหะเสด็จออกสู่โรงทาน ๖ แห่ง ทุกๆ ครึ่งเดือน ไม่เคยขาด เมื่อออกบรรพชา ทรงอุตสาหะบูชาไฟตลอด เป็น วิริยะบารมี
๖.  ไม่พิโรธพระราชบิดาที่สั่งให้เนรเทศพระองค์ และทรงอดกลั้นความโกรธ เมื่อเห็นชูชกเฆี่ยนตีพะโอรสทั้งสอง เป็น ขันติบารมี
๗.  เมื่อตรัสปฏิภาณว่าจะให้บุตรทานแก่พราหมณ์ ก็ทรงบริจาคให้ตามสัตย์ นับว่าเป็น    
สัจบารมี
๘.  เมื่อทรงสมาทานมั่น ไม่ให้พระหฤทัยอาลัยพระโอรสทั้งสองและเมื่อกระทำพระทัยมั่นมิได้ หวั่นไหวเกรงภัยจากกองทัพของพระเจ้ากรุงสญชัยที่จะมารับพระองค์กลับพระนคร นับเป็น อธิษฐานบารมี
๙.  เมื่อแผ่พระเมตตาแก่ชาวกลิงคราษฎร์ เมื่อพระราชทานช้างปัจจัยนาค และเมื่อสถิตในเขาวงกตได้แผ่พระเมตตาแก่สรรพสัตว์ทั่วไปเป็น  เมตตาบารมี
๑๐.  เมื่อตัดความเสน่หาอาลัยในพระโอรสทั้งสองได้ ไม่โกรธชูชก ทั้งประทับเป็น
มัชฌัตตารมณ์ ไม่รักไม่ชังผู้ใดเป็น อุเบกขาบารมี
ทศพร
พร ๑๐ ประการ ที่พระอินทร์ประทานให้พระนางผสุสดี
๑.  ให้ได้อยู่ในปราสาทของพระเจ้าสีวีราชแห่งกรุงสีพี
๒. ให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาของลูกเนื้อทราย
๓.  ให้มีคิ้วโก่งดำสนิท
๔.  ให้มีพระนามว่าผสุสดี
๕.  ให้มีพระโอรสที่ฝักใฝ่ในการบริจาคทาน
๖.   เมื่อเวลาทรงครรภ์มิให้ครรภ์ปรากฏนูนเหมือนสตรีสามัญ
๗.  ให้มีถันอันงาม  เวลาทรงครรภ์มิให้ดำและหย่อนยาน
๘.  ให้มีเกศาสนิท
๙.   ให้มีผิวงาม
๑๐. ให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้
       พร ๘ ประการ
พร ๘ ประการ ที่พระอินทร์ประทานให้แก่พระเวสสันดร
๑.  ให้บิดาเสด็จมารับพระองค์กลับไปครองราชย์ในนคร
๒. ให้ได้ปลดปล่อยนักโทษทั้งหมด
๓.  ให้ได้ช่วยเหลือคนยากจนให้บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ
๔.  อย่าให้ลุอำนาจสตรีให้พอใจแต่พระชายาของพระองค์
๕.  ให้กุมารทั้งสองมีมายุยืนนานและเป็นกษัตริย์สืบราชสมบัติ
๖.   ให้ฝนแก้วทั้ง ๗ ประการ ตกในนครสีพีเมื่อพระองค์เสด็จกลับไป
๗.  ให้ได้บริจาคทรัพย์แก่คนยากจน  ด้วยสมบัติในท้องพระคลังอันไม่รู้หมดสิ้น
๘.   เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต และในพระชาติต่อมาให้ได้บรรลุ
พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า

การบริจาคทานของพระเวสสันดรที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ๗ ครั้ง มีดังนี้
๑.  เมื่อทรงปฏิญาณว่าบริจาค พระหทัย พระเนตร พระมังสา หรือพระโลหิต ถ้ามีผู้มาขอ
๒.  เมื่อพระราชทานช้างปัจจัยนาค
๓.  เมื่อพระราชทานมหาทานก่อนเสด็จไปประทับที่เขาวงกต
๔.  เมื่อพระราชทานพระโอรสทั้งสองแก่ชูชก
๕.  เมื่อพระราชทานพระนางมัทรีแก่พระอินทร์ที่แปลงเป็นพราหมณ์
๖.  เมื่อได้พบพระราชบิดา และพระราชมารดาอีกครั้งในป่า
๗.  เมื่อเสด็จนิวัติพระนครสีพี

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

บทอาขยานภาษาไทย

บทอาขยานภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการได้มีนโยบายกำหนดให้มีการท่องอาขยาน อย่างจริงจังในสถานศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา 2542 เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์ของการท่อง อ่านเพิ่มเติม

มหาชาติ หรือ มหาเวสสันดรชาดก

มหาชาติ  เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ที่ได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรและเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  คนไทยรู้จักและคุ้ยเคยกับมหาชาติมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยอ่านเพิ่มเติม 

มงคลสูตรคำฉันท์

เมื่อ พ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่6 ทรงนำมงคลสูตรมาทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทร้อยกรองประเกทคำฉันท์ โดยใช้คำประพันธ์ 2 ชนิด คือกาพย์ฉบัง 16 อ่านเพิ่มเติ